ผู้ฝึกสอนกีฬาสันทนาการควรรู้ ไอเดียกิจกรรมสร้างทีมที่พลิกโฉมผลลัพธ์

webmaster

A diverse group of professional colleagues in modest, smart casual attire, fully clothed, collaborating enthusiastically on a large, vibrant abstract canvas painting during an art workshop. They are smiling and engaged, demonstrating teamwork and creativity. The setting is a brightly lit, spacious modern art studio with various art supplies on tables. Professional photography, high quality, vibrant colors, soft lighting, sharp focus. safe for work, appropriate content, fully clothed, modest clothing, appropriate attire, professional dress, perfect anatomy, correct proportions, natural pose, well-formed hands, proper finger count, natural body proportions, family-friendly.

ในยุคที่การทำงานเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะ Work From Anywhere หรือ Hybrid Work เชื่อไหมคะว่า ‘กิจกรรมสร้างทีม’ หรือ ‘Team Building’ กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเชื่อมสัมพันธ์และเสริมสร้างพลังให้กับองค์กรยุคใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ฉันสังเกตเห็นเลยว่าหลายๆ บริษัทในกรุงเทพฯ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศดีๆ ให้พนักงานได้ผ่อนคลายและรู้จักกันมากขึ้นนอกเวลางานปกติ แต่กุญแจสำคัญที่จะทำให้กิจกรรมเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การเล่นเกมสนุกๆ ทั่วไปนะคะ แต่คือการมี ‘โค้ชกีฬาหรือผู้นำกิจกรรมนันทนาการ’ ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจจิตวิทยาคนจริงๆเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารหลายท่าน รวมถึงได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ฉันรู้สึกเลยว่ายุคนี้กิจกรรม Team Building ไม่ใช่แค่การวิ่งแข่งสามัคคีแล้วจบไป แต่ต้องมีการวางแผนที่ลึกซึ้งกว่านั้นมากค่ะ จากข้อมูลและเทรนด์ที่ฉันได้ศึกษามา ตอนนี้องค์กรต่างๆ กำลังมองหากิจกรรมที่เน้น ‘ประสบการณ์เฉพาะตัว’ และ ‘การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ’ มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเวิร์คช็อปศิลปะบำบัด, การทำอาหารไทยร่วมกัน, หรือแม้แต่กิจกรรมผจญภัยที่ท้าทายในธรรมชาติแถบเขาใหญ่ เพื่อให้พนักงานได้หลุดออกจากกรอบเดิมๆ และค้นพบศักยภาพใหม่ๆ ร่วมกันสิ่งที่ฉันประทับใจคือ บทบาทของโค้ชหรือผู้นำกิจกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ ‘นำเล่น’ แต่คือ ‘นำทาง’ พวกเขาต้องมีความสามารถในการอ่านคน, ปรับสถานการณ์ได้ตามหน้างาน และดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำงานร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น อนาคตของวงการนี้กำลังมุ่งไปสู่ ‘การผนวกเทคโนโลยี’ เข้ากับการสร้างทีม เช่น การใช้ VR/AR ในเกมจำลองสถานการณ์ หรือแพลตฟอร์ม Gamification เพื่อติดตามความก้าวหน้าและสร้างแรงจูงใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญมากๆ สำหรับองค์กรยุคใหม่เลยล่ะค่ะเรามาหาคำตอบกันแบบละเอียดในบทความนี้เลยค่ะ

พลิกโฉม Team Building: ไม่ใช่แค่เล่น แต่คือการสร้างสรรค์

กสอนก - 이미지 1
การทำ Team Building ในยุคปัจจุบันไม่ใช่แค่กิจกรรมสันทนาการที่ทำเพื่อฆ่าเวลาอีกต่อไปแล้วค่ะ จากประสบการณ์ตรงที่ฉันได้เห็นและสัมผัสมาหลายครั้ง ฉันกล้ายืนยันเลยว่ามันกลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญมากๆ สำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ลองคิดดูสิคะว่าในวันที่พนักงานหลายคนอาจจะทำงานจากที่บ้านหรือไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน กิจกรรมเหล่านี้แหละที่ช่วยเชื่อมโยงหัวใจของพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นพนักงานคนหนึ่ง ฉันจำได้ว่ามีอยู่บริษัทหนึ่งที่ฉันเคยไปสังเกตการณ์มา พวกเขาจัดกิจกรรม Team Building ที่เน้นการแก้ปัญหาร่วมกันในสถานการณ์จำลองที่ซับซ้อน ปรากฏว่าหลังจากจบคอร์ส ทีมงานที่เคยมีปัญหากันเล็กน้อยกลับกลายมาเป็นมิตรและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของการ Team Building ที่เหนือกว่าแค่ความสนุกสนาน มันคือการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานไปพร้อมๆ กัน

1. จากเกมธรรมดา สู่ประสบการณ์ความท้าทายที่ไร้ขีดจำกัด

เมื่อก่อนเวลาพูดถึง Team Building เราอาจจะนึกถึงแค่เกมกีฬาสีง่ายๆ ที่จัดในสนามโรงเรียน หรือกิจกรรมในห้องประชุม แต่เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะแล้วค่ะ เทรนด์ที่มาแรงจริงๆ คือการออกแบบกิจกรรมที่ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ ท้าทายขีดจำกัด และเปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้ทักษะที่ไม่เคยใช้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเวิร์คช็อปศิลปะที่ต้องสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน การทำอาหารไทยโบราณที่ต้องวางแผนและแบ่งหน้าที่ หรือแม้แต่กิจกรรมผจญภัยในธรรมชาติอย่างการปีนหน้าผาจำลอง หรือการพายเรือคายัคในทะเลสาบแถบเขาใหญ่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แค่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังเป็นการสร้างความทรงจำร่วมกัน และเปิดโอกาสให้พนักงานได้เห็นด้านใหม่ๆ ของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมักจะนำไปสู่ความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้นในระยะยาว ฉันเคยได้ยินผู้บริหารท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “กิจกรรม Team Building ที่ดีที่สุดไม่ใช่กิจกรรมที่แพงที่สุด แต่เป็นกิจกรรมที่ทำให้พนักงานได้ ‘ออกจากคอมฟอร์ทโซน’ และเรียนรู้ที่จะพึ่งพาซึ่งกันและกัน” ซึ่งฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ

2. สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงค่านิยมองค์กรผ่านกิจกรรม

กิจกรรม Team Building ที่มีประสิทธิภาพจริงๆ ไม่ได้จบลงแค่ความสนุกแล้วแยกย้าย แต่ต้องสามารถสอดแทรกค่านิยมหลักขององค์กร (Core Values) หรือเป้าหมายทางธุรกิจลงไปได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพกิจกรรมที่ทีมต้องแข่งขันกันเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือแก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกับความท้าทายที่องค์กรกำลังเผชิญอยู่สิคะ การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำแบบนี้จะฝังรากลึกและสร้างความเข้าใจที่แท้จริงมากกว่าการบรรยายในห้องประชุมเป็นไหนๆ หลายครั้งที่ฉันได้เข้าร่วมสังเกตการณ์กิจกรรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเสริมสร้างค่านิยมอย่าง “การทำงานเป็นทีม” หรือ “ความคิดสร้างสรรค์” ฉันพบว่าพนักงานไม่ได้แค่เรียนรู้ แต่พวกเขายังได้ซึมซับและนำหลักการเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมากๆ ค่ะ มันไม่ใช่แค่การสร้างทีม แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีงามไปพร้อมๆ กันเลย

กุญแจสำคัญ: ผู้นำกิจกรรมมืออาชีพที่เข้าใจใจคน

บทบาทของ ‘โค้ชกีฬา’ หรือ ‘ผู้นำกิจกรรมนันทนาการ’ ในงาน Team Building ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยค่ะ จากประสบการณ์ของฉัน ผู้นำกิจกรรมที่ดีไม่ใช่แค่คนที่นำเกมเก่ง หรือเสียงดังฟังชัดเท่านั้น แต่พวกเขาคือผู้ที่เข้าใจจิตวิทยาของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง สามารถสังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วม ปรับเปลี่ยนสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของแต่ละคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทีมได้ ฉันเคยเห็นผู้นำกิจกรรมที่เก่งมากๆ เขาสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดจากการแข่งขันให้กลายเป็นการเรียนรู้และเสริมสร้างความสามัคคีได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขาไม่ได้แค่บอกให้ทำอะไร แต่พวกเขาสร้างแรงบันดาลใจและท้าทายให้ทุกคนก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งเป็นทักษะที่ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจริงๆ ค่ะ

1. ศิลปะการอ่านคนและปรับสถานการณ์เฉพาะหน้า

ผู้นำกิจกรรมที่แท้จริงต้องมี ‘ตาเหยี่ยว’ ที่คอยสังเกตผู้เข้าร่วมแต่ละคนได้อย่างละเอียดลออ พวกเขาต้องอ่านภาษากาย สังเกตปฏิกิริยาของแต่ละบุคคล และที่สำคัญคือต้องรับรู้ถึงพลวัตของกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว หากมีใครคนใดรู้สึกไม่สบายใจหรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผู้นำที่ดีจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือและดึงคนคนนั้นกลับเข้ามาสู่กิจกรรมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ทิ้งไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนแผนการหรือกฎกติกาเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์จริงก็เป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ เพราะแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน กิจกรรมที่ประสบความสำเร็จกับกลุ่มหนึ่ง อาจจะไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับอีกกลุ่มหนึ่ง การมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามหน้างานนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผู้นำกิจกรรมมืออาชีพแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ฉันเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งที่แผนการเดิมๆ ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับอารมณ์ของกลุ่ม ทำให้กิจกรรมราบรื่นและทุกคนสนุกได้อย่างเต็มที่

2. จุดประกายศักยภาพที่ซ่อนอยู่และการส่งเสริมภาวะผู้นำ

สิ่งที่ฉันชื่นชมในตัวผู้นำกิจกรรมมืออาชีพมากๆ คือความสามารถในการ ‘ดึงของ’ ออกมาจากผู้เข้าร่วมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีบุคลิกเงียบขรึม ไม่ชอบออกหน้า หรือคนที่ชอบเป็นผู้นำอยู่แล้ว ผู้นำกิจกรรมที่ดีจะสร้างโอกาสให้ทุกคนได้แสดงออกและมีส่วนร่วมในแบบของตัวเอง พวกเขาอาจจะมอบหมายบทบาทเล็กๆ ที่สำคัญ หรือตั้งคำถามปลายเปิดที่กระตุ้นให้คนที่ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นได้พูดออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำเหล่านี้ยังช่วยส่งเสริมภาวะผู้นำในตัวบุคคลด้วยการมอบหมายความรับผิดชอบ และให้โอกาสในการตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยให้พนักงานมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในการทำงานจริง นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับองค์กรในระยะยาว เพราะมันคือการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมาอย่างยั่งยืนจากภายในองค์กรเอง

ประสบการณ์เฉพาะตัว: กิจกรรมที่เชื่อมโยงและสร้างความประทับใจ

ในฐานะคนที่หลงใหลในการสร้างสรรค์ประสบการณ์แปลกใหม่ ฉันสังเกตเห็นว่าเทรนด์ของ Team Building กำลังมุ่งหน้าสู่กิจกรรมที่เน้น ‘ประสบการณ์เฉพาะตัว’ มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ใช่แค่การเล่นเกมสนุกๆ ทั่วไป แต่คือการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่น่าจดจำและมีความหมายต่อผู้เข้าร่วมจริงๆ กิจกรรมเหล่านี้มักจะถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของความสนุกสนาน การทำงานร่วมกัน และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกัน ฉันเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “คนเรามักจะจำสิ่งที่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ได้ฟัง” ซึ่งเป็นจริงมากๆ สำหรับกิจกรรม Team Building การได้ลงมือทำอะไรบางอย่างร่วมกัน ได้เผชิญหน้ากับความท้าทาย ได้หัวเราะและแก้ไขปัญหาร่วมกัน สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าและช่วยเสริมสร้างความผูกพันในทีมได้อย่างแท้จริง

1. เวิร์คช็อปศิลปะบำบัดและการทำอาหารสร้างสรรค์

ลองจินตนาการถึงกิจกรรมที่ทีมของคุณได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพ้นท์ภาพขนาดใหญ่ร่วมกัน การปั้นเซรามิก หรือแม้แต่การทำอาหารไทยแบบฉบับเชฟกระทะเหล็ก!

กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้แค่สนุก แต่ยังช่วยลดความเครียดและเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงออกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างเวิร์คช็อปศิลปะบำบัดที่ฉันเคยเข้าร่วม มันช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้ผ่อนคลายและแสดงอารมณ์ผ่านสีและรูปทรง และที่น่าทึ่งคือ มันสามารถนำไปสู่การพูดคุยและทำความเข้าใจกันในเชิงลึกระหว่างเพื่อนร่วมงานได้เลยทีเดียว ส่วนกิจกรรมทำอาหารก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ เพราะต้องอาศัยการวางแผน การแบ่งหน้าที่ และการสื่อสารที่ชัดเจน เหมือนกับการทำงานโปรเจกต์จริงๆ เลยล่ะค่ะ แถมยังได้ลิ้มรสผลงานที่ทำร่วมกันอีกด้วย เป็นการปิดท้ายที่น่าประทับใจเสมอ

2. การผจญภัยที่ท้าทายในธรรมชาติและการแก้ปัญหาสุดระทึก

สำหรับองค์กรที่ต้องการกระตุ้นความตื่นเต้นและท้าทายขีดจำกัด การจัดกิจกรรมผจญภัยในธรรมชาติเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าเทรคกิ้ง การล่องแก่ง หรือกิจกรรมเชือกสูง (High Ropes Course) ที่ต้องอาศัยความกล้าหาญและความไว้วางใจในทีมอย่างสูง ฉันเคยเข้าร่วมกิจกรรมเชือกสูงที่เขาใหญ่มาแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ที่จะเชื่อใจเพื่อนร่วมทีมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะชีวิตของเราขึ้นอยู่กับพวกเขาจริงๆ ในสถานการณ์นั้น!

กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความทรงจำที่ไม่มีวันลืม แต่ยังช่วยให้พนักงานได้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีมภายใต้แรงกดดัน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งทักษะเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ เลยล่ะค่ะ

เทคโนโลยีพลิกโลก: เมื่อนวัตกรรมผสานการสร้างทีม

โลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทในทุกแง่มุมของชีวิต รวมถึงวงการ Team Building ด้วยค่ะ ฉันเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นนวัตกรรมที่น่าทึ่งเข้ามาช่วยยกระดับกิจกรรมสร้างทีมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกสบาย แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและวัดผลได้จริง เคยคิดไหมคะว่าเราอาจจะได้ใส่แว่น VR เพื่อเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลองที่ต้องแก้ปัญหาร่วมกัน หรือใช้ AI ในการวิเคราะห์พลวัตของทีมเพื่อออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้มาแทนที่การปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ แต่เป็นการเสริมสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับมันต่างหาก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับอนาคตขององค์กรยุคใหม่

1. VR/AR ในเกมจำลองสถานการณ์: สร้างโลกเสมือนจริงเพื่อการเรียนรู้

ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่ทีมของคุณต้องร่วมกันปฏิบัติภารกิจกู้โลกในโลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยี VR หรือ AR สิคะ! กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ให้แค่ความตื่นเต้น แต่ยังช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้ฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหา การสื่อสาร และการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์จำลองที่สมจริง โดยไม่มีความเสี่ยงในโลกจริง ฉันเคยเห็นตัวอย่างของบริษัทต่างชาติที่ใช้ VR ในการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการบริการลูกค้าในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม เพราะพนักงานได้ฝึกฝนซ้ำๆ จนเกิดความชำนาญก่อนที่จะเจอสถานการณ์จริง การนำ VR/AR มาใช้ใน Team Building ก็เช่นกัน มันเปิดโอกาสให้ทีมได้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่ซับซ้อนในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ซึ่งช่วยให้พวกเขาเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว

2. Gamification และแพลตฟอร์มติดตามความก้าวหน้า

นอกจากการใช้ VR/AR แล้ว การนำแนวคิด Gamification มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรม Team Building ก็เป็นอีกเทรนด์ที่น่าจับตาค่ะ ลองคิดดูสิคะว่าถ้าเราสามารถเปลี่ยนภารกิจของ Team Building ให้กลายเป็นเกมที่มีระบบคะแนน มีลีดเดอร์บอร์ด มีรางวัล และมีระดับความก้าวหน้า นั่นจะกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมมีส่วนร่วมและแข่งขันกันเพื่อพัฒนาตนเองและทีมมากแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถติดตามความก้าวหน้าของแต่ละบุคคลและของทีมโดยรวมได้ ก็จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพรวมและสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกิจกรรมในครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการวางแผนทรัพยากรบุคคลและการพัฒนาองค์กรในระยะยาว

วัดผลและต่อยอด: ทำอย่างไรให้ Team Building ยั่งยืน

หลายองค์กรมักจะจัด Team Building แบบปีละครั้ง แล้วก็จบไป แต่จริงๆ แล้ว การทำให้ Team Building ยั่งยืนและสร้างผลกระทบในระยะยาวได้นั้น ต้องมีการวัดผลและต่อยอดอย่างเป็นระบบค่ะ ฉันเชื่อว่าการลงทุนลงแรงไปกับกิจกรรม Team Building ควรจะส่งผลลัพธ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ความสนุกสนานชั่วคราว สิ่งสำคัญคือการเก็บข้อมูล ประเมินผล และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากกิจกรรมไปปรับใช้ในชีวิตการทำงานจริง และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ในวันกิจกรรมเท่านั้น ฉันเคยเห็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการทำให้ Team Building เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร พวกเขาไม่ได้แค่จัดกิจกรรมใหญ่ๆ แต่ยังมีการจัดเวิร์คช็อปเล็กๆ การประชุมที่เน้นการมีส่วนร่วม หรือแม้แต่การสร้างโอกาสให้พนักงานได้ทำกิจกรรมที่ต้องพึ่งพากันและกันอยู่เสมอ

1. การประเมินผลลัพธ์ที่ชัดเจนและจับต้องได้

หลังจากกิจกรรม Team Building จบลง สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการประเมินผลลัพธ์ค่ะ ไม่ใช่แค่ถามว่า “สนุกไหม” แต่ควรถามว่า “ได้เรียนรู้อะไร” “นำไปปรับใช้ในการทำงานได้อย่างไรบ้าง” “ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้นจริงไหม” องค์กรสามารถใช้แบบสำรวจ (Survey) การสัมภาษณ์ (Interview) หรือแม้แต่การสังเกตการณ์พฤติกรรมในที่ทำงานหลังจบคอร์ส เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ บางองค์กรอาจจะใช้ตัวชี้วัด (KPIs) ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเป็นทีม เช่น อัตราการแก้ปัญหาในโปรเจกต์ร่วมกัน การสื่อสารภายในทีม หรือแม้แต่ความพึงพอใจในการทำงานร่วมกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนว่าการลงทุนใน Team Building นั้นคุ้มค่าแค่ไหน และส่วนไหนที่ควรปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

2. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการทำงานเป็นทีมอย่างต่อเนื่อง

การจัด Team Building แค่ครั้งเดียวในรอบปีอาจจะไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนเท่าที่ควรค่ะ สิ่งสำคัญกว่าคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมในทุกๆ วัน ลองคิดดูสิคะว่าถ้าหลังจากจบคอร์ส Team Building พนักงานกลับไปทำงานในสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่ไม่มีการสนับสนุนการทำงานร่วมกัน ความรู้และทักษะที่ได้มาก็จะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย องค์กรควรจะส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้าง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และการยอมรับความแตกต่างหลากหลายของสมาชิกในทีม การมีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างการจัด Coffee Break ที่ให้พนักงานได้พูดคุยกันนอกเรื่องงาน หรือการมี Mentor Program ที่ช่วยให้รุ่นพี่ได้ให้คำแนะนำรุ่นน้อง ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและยั่งยืนได้ค่ะ

องค์ประกอบสำคัญของกิจกรรม Team Building ที่ประสบความสำเร็จ คำอธิบาย ประโยชน์ต่อองค์กรและพนักงาน
เป้าหมายที่ชัดเจน กิจกรรมต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น เพื่อพัฒนาการสื่อสาร, การแก้ปัญหา, หรือสร้างความสามัคคี ช่วยให้กิจกรรมมีทิศทาง และสามารถวัดผลลัพธ์ได้ตรงจุด
ผู้นำกิจกรรมมืออาชีพ โค้ชที่มีความเข้าใจจิตวิทยา สามารถนำกิจกรรมได้อย่างราบรื่นและดึงศักยภาพผู้เข้าร่วม สร้างบรรยากาศที่ดี, แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า, เพิ่มการมีส่วนร่วมและผลลัพธ์
การมีส่วนร่วมของทุกคน กิจกรรมควรเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงออกและมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะบุคลิกแบบไหน ลดช่องว่างระหว่างบุคคล, สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง, ดึงศักยภาพที่หลากหลาย
ความท้าทายที่เหมาะสม กิจกรรมควรมีความท้าทายที่พอดี ไม่ยากหรือง่ายเกินไป เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และการแก้ไขปัญหา ส่งเสริมการคิดนอกกรอบ, พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมภายใต้แรงกดดัน
การสะท้อนผลลัพธ์ (Debrief) ช่วงเวลาสำหรับการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสรุปบทเรียนที่ได้จากกิจกรรม ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจวัตถุประสงค์ลึกซึ้งขึ้น, นำบทเรียนไปปรับใช้ในการทำงานจริง
การเชื่อมโยงสู่การทำงานจริง กิจกรรมควรมีเนื้อหาหรือรูปแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ในสถานการณ์การทำงานประจำวันได้ สร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน, พัฒนาทักษะที่จำเป็นในระยะยาว, คุ้มค่ากับการลงทุน

พลังของ Team Building: มากกว่าความสนุกคือผลลัพธ์ทางธุรกิจ

หลายครั้งที่ผู้บริหารอาจจะมองว่า Team Building เป็นแค่ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือเป็นเพียงกิจกรรมแก้เครียด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันอยากจะบอกว่ามันคือ ‘การลงทุน’ ที่สำคัญและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเกินกว่าที่คิดไว้มากค่ะ จากการที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารหลายท่าน รวมถึงศึกษาจากกรณีศึกษาของบริษัทชั้นนำหลายแห่ง ฉันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสร้างทีมที่แข็งแกร่ง มักจะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่า พนักงานมีความสุขกับการทำงานมากกว่า และอัตราการลาออกของพนักงานก็น้อยกว่าด้วยซ้ำไป Team Building ไม่ใช่แค่เรื่องของความบันเทิง แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาว มันคือการสร้างสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดขององค์กร นั่นก็คือ ‘คน’ นั่นเองค่ะ

1. เพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรมในการทำงาน

เมื่อทีมมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน มีความไว้วางใจ และสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการทำงานที่รวดเร็วและราบรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ ปัญหาที่เคยซับซ้อนก็อาจจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดายด้วยการระดมสมองของทีมที่มีความหลากหลาย และที่สำคัญกว่านั้นคือ การทำงานเป็นทีมที่ดีจะช่วยกระตุ้นให้เกิด ‘นวัตกรรม’ ใหม่ๆ เพราะเมื่อทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะเสนอไอเดียที่แตกต่าง และพร้อมที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดร่วมกัน ก็จะนำไปสู่การค้นพบโซลูชั่นใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างมหาศาล ฉันเชื่อว่าองค์กรที่ลงทุนกับ Team Building อย่างจริงจัง จะกลายเป็นผู้นำในตลาดได้ในที่สุด

2. ลดอัตราการลาออกและสร้างความผูกพันกับองค์กร

ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้กับองค์กร คือการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและน่าอยู่ค่ะ และ Team Building ก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อพนักงานรู้สึกผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และรู้สึกว่าองค์กรเห็นคุณค่าในตัวพวกเขา โอกาสที่พวกเขาจะลาออกเพื่อไปหางานใหม่ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ การได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้สร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกัน มันช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่าแค่ความสัมพันธ์ในที่ทำงานธรรมดา ทำให้พนักงานรู้สึก ‘อยาก’ มาทำงานทุกวัน และมีความสุขกับการใช้เวลาในองค์กรมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้จริงๆ ค่ะ

อนาคตของ Team Building: ยิ่งเฉพาะเจาะจง ยิ่งทรงพลัง

เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง Team Building ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกันค่ะ ฉันมองเห็นอนาคตที่กิจกรรมสร้างทีมจะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของแต่ละองค์กรและแต่ละทีม ไม่ใช่ One-Size-Fits-All อีกต่อไปแล้วค่ะ เราจะเห็นการนำข้อมูล (Data) มาใช้ในการออกแบบกิจกรรมมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมนั้นๆ จะสร้างผลลัพธ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับแต่ละกลุ่มคน ยิ่งไปกว่านั้น การผสมผสานระหว่างกิจกรรมในโลกจริง (Offline) และกิจกรรมในโลกเสมือน (Online) ก็จะกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น เพื่อรองรับรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Work ที่กำลังได้รับความนิยม และสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดคือ การที่ Team Building จะถูกมองว่าเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของการพัฒนาองค์กรและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่กิจกรรมที่ทำเป็นครั้งคราว

1. การออกแบบกิจกรรมตามข้อมูลและวัฒนธรรมองค์กร

ในอนาคต การออกแบบกิจกรรม Team Building จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความนิยมหรือความสนุกสนานเท่านั้น แต่จะอาศัยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทีม เช่น ลักษณะบุคลิกภาพของสมาชิก ทักษะที่ต้องการพัฒนา จุดแข็ง จุดอ่อนของทีม หรือแม้แต่วัฒนธรรมเฉพาะขององค์กรนั้นๆ การใช้เครื่องมือประเมิน (Assessment Tools) หรือแบบสำรวจที่ละเอียดมากขึ้น จะช่วยให้ผู้นำกิจกรรมและผู้บริหารสามารถออกแบบกิจกรรมที่ “ตัดเย็บ” มาอย่างดี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของทีมได้อย่างแม่นยำที่สุด ฉันเชื่อว่าวิธีการนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกิจกรรมได้อย่างมหาศาล และทำให้การลงทุนใน Team Building มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เพราะมันตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของทีมจริงๆ

2. Team Building แบบ Hybrid: เชื่อมโยงคนทุกที่เข้าไว้ด้วยกัน

เมื่อการทำงานแบบ Hybrid Work กลายเป็นเรื่องปกติ การจัดกิจกรรม Team Building ก็ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ครอบคลุมทั้งพนักงานที่ทำงานในออฟฟิศและพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านค่ะ นี่คือความท้าทายที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การผสมผสานกิจกรรมในโลกจริงกับแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างลงตัว เช่น การจัดเวิร์คช็อปศิลปะที่ทุกคนร่วมกันทำผลงานจากที่บ้านแล้วนำมารวมกันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือการใช้เกมออนไลน์ที่ต้องทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้พนักงานที่อยู่คนละที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้โดยไม่รู้สึกถึงระยะห่าง ผู้นำกิจกรรมในอนาคตจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม มันเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้การสร้างทีมไร้ขีดจำกัดทางภูมิศาสตร์

ยกระดับองค์กรด้วย Team Building ที่แท้จริง: ลงทุนใน “คน”

มาถึงตรงนี้ ฉันหวังว่าทุกคนจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นแล้วนะคะว่า ‘กิจกรรมสร้างทีม’ หรือ ‘Team Building’ ในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ หรือแค่กิจกรรมผ่อนคลายเท่านั้น แต่คือการลงทุนที่สำคัญและคุ้มค่าอย่างยิ่งต่อการพัฒนาองค์กรในระยะยาวค่ะ จากประสบการณ์ตรงที่ฉันได้เห็นมาหลายต่อหลายครั้ง องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีความสุข มักจะเป็นองค์กรที่เติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีนวัตกรรมอยู่เสมอ การลงทุนใน Team Building ไม่ใช่แค่การทุ่มเงินไปกับกิจกรรมสนุกๆ แต่คือการลงทุนใน ‘คน’ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดของทุกองค์กร และในท้ายที่สุดแล้ว ‘คน’ เหล่านี้แหละค่ะที่จะขับเคลื่อนองค์กรของคุณให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและประสบความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างแน่นอน

1. สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากการสร้างความสามัคคีแล้ว Team Building ยังเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในองค์กรค่ะ เมื่อพนักงานได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ท้าทาย ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้เผชิญหน้ากับปัญหาและแก้ไขร่วมกัน พวกเขาจะเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาจะซึมซับแนวคิดที่ว่า ‘การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด’ และ ‘การพัฒนามีอยู่เสมอ’ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอในการทำงานจริง สิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญในการทำให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตได้ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

2. บทสรุป: ทีมที่แข็งแกร่งคือหัวใจของความสำเร็จที่ยั่งยืน

โดยสรุปแล้ว การที่องค์กรจะประสบความสำเร็จในยุคที่การแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้นั้น จำเป็นต้องมี ‘ทีมที่แข็งแกร่ง’ เป็นหัวใจสำคัญค่ะ และ Team Building ที่ออกแบบมาอย่างมืออาชีพ โดยมีผู้นำกิจกรรมที่เข้าใจจิตใจคน และมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมทัพ ก็คือเครื่องมือที่จะช่วยสร้างทีมที่ว่านี้ให้เกิดขึ้นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างการสื่อสาร, การแก้ปัญหาร่วมกัน, การสร้างความไว้วางใจ, หรือการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ทุกองค์ประกอบของ Team Building ล้วนมีเป้าหมายเพื่อสร้างความผูกพันและประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการลงทุนในกิจกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดที่องค์กรจะทำได้ เพื่ออนาคตที่สดใสและยั่งยืน.

ส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างคะทุกคน? หวังว่าบทความนี้จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับกิจกรรม Team Building ให้กับผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อยนะคะ จากที่ได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงนี้มานาน ฉันขอยืนยันอีกครั้งว่าการลงทุนใน Team Building นั้น ไม่ใช่แค่กิจกรรมที่ทำแล้วจบไป แต่เป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรอย่างแท้จริง การได้เห็นทีมงานที่เคยห่างเหินกันกลับมารวมใจเป็นหนึ่งเดียว สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ร่วมกันได้อย่างมีความสุข นั่นคือความสำเร็จที่แท้จริงและยั่งยืนที่ Team Building สามารถมอบให้ได้ค่ะ อย่ารอช้าที่จะลงทุนกับ ‘คน’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรของคุณนะคะ

ข้อมูลน่ารู้

1. เลือกผู้ให้บริการ Team Building ที่มีประสบการณ์และเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรของคุณเป็นอย่างดี บางบริษัทในไทยก็เชี่ยวชาญกิจกรรมผจญภัย หรือเวิร์คช็อปศิลปะโดยเฉพาะ ลองศึกษาข้อมูลดูนะคะ

2. ตั้งเป้าหมายของกิจกรรมให้ชัดเจนก่อนเริ่มวางแผน เพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมที่เลือกจะตอบโจทย์สิ่งที่องค์กรต้องการพัฒนาได้อย่างแท้จริง

3. อย่าละเลยช่วง Debrief หรือการสรุปบทเรียนหลังกิจกรรม เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้ตกผลึกและนำสิ่งที่เรียนรู้ไปปรับใช้ในการทำงาน

4. พิจารณาสถานที่จัดกิจกรรมที่เอื้อต่อการทำกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ทที่มีพื้นที่กว้างขวาง หรือสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างเขาใหญ่ หรือกาญจนบุรี ที่มีกิจกรรมให้เลือกมากมาย

5. การลงทุนใน Team Building ไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุด แต่คือการเลือกกิจกรรมที่ ‘คุ้มค่า’ และให้ ‘ผลตอบแทน’ ที่ยั่งยืนที่สุดในระยะยาวค่ะ

สรุปประเด็นสำคัญ

Team Building คือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น

กิจกรรมที่ดีต้องท้าทายความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจ และเชื่อมโยงค่านิยมองค์กร

ผู้นำกิจกรรมมืออาชีพคือหัวใจสำคัญ ที่สามารถดึงศักยภาพผู้เข้าร่วมและปรับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้

เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น VR/AR และ Gamification กำลังเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพให้กิจกรรมสร้างทีม

การวัดผลและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการทำงานเป็นทีมอย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: ในมุมมองของคุณ โค้ชกีฬาหรือผู้นำกิจกรรมนันทนาการที่เชี่ยวชาญ มีบทบาทสำคัญอย่างไรในการทำให้กิจกรรม Team Building ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันคะ?

ตอบ: จากที่ฉันได้สัมผัสมาและได้คุยกับผู้บริหารหลายท่านนะคะ ฉันรู้สึกเลยว่าบทบาทของโค้ชหรือผู้นำกิจกรรมในยุคนี้สำคัญมากจริงๆ มันไม่ใช่แค่การมีคนมานำเล่นเกมให้สนุกไปวันๆ แล้วจบ แต่พวกเขากลายเป็นหัวใจสำคัญที่คอย ‘นำทาง’ ให้ทีมไปถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการทำ Team Building ค่ะ ลองคิดดูสิคะ เวลาเราทำกิจกรรม บางทีคนในทีมก็อาจจะยังไม่กล้าเปิดใจ หรือไม่รู้จะร่วมมือกันยังไง โค้ชเก่งๆ นี่แหละค่ะที่จะช่วย ‘อ่านคน’ ออก ปรับสถานการณ์ได้ตามหน้างาน รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะกระตุ้น เมื่อไหร่ควรจะปล่อยให้ทุกคนได้แสดงออกอย่างอิสระ พวกเขามีความสามารถในการดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของแต่ละคนออกมาใช้ แล้วเชื่อมโยงให้มันเป็นพลังของการทำงานร่วมกันได้ ฉันเคยเห็นมาแล้วนะคะว่าทีมที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ค่อยได้ พอได้โค้ชที่เข้าใจจิตวิทยาคนมาช่วยนำทาง กิจกรรมไม่กี่ชั่วโมงก็เปลี่ยนจากความอึดอัดให้กลายเป็นความเข้าใจและสามัคคีกันได้อย่างน่าทึ่งเลยค่ะ สำหรับฉัน นี่คือคุณค่าที่หาไม่ได้จากการเล่นเกมทั่วไปเลยจริงๆ

ถาม: แล้วกิจกรรม Team Building แบบไหนที่องค์กรไทยในปัจจุบันกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษ และตอบโจทย์การทำงานแบบ Work From Anywhere หรือ Hybrid Work ได้ดีที่สุดคะ?

ตอบ: จากที่ฉันได้ศึกษาเทรนด์และได้เห็นจากหลายๆ บริษัทในกรุงเทพฯ ตอนนี้องค์กรไทยกำลังมองหากิจกรรมที่ไม่ใช่แค่การละลายพฤติกรรมผิวเผิน แต่เน้นไปที่ ‘ประสบการณ์เฉพาะตัว’ และ ‘การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ’ มากขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ อย่างที่เกริ่นไปว่าไม่ใช่แค่การวิ่งแข่งสามัคคีแล้วจบไปแล้วนะคะ (หัวเราะ) ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากิจกรรมอย่างเวิร์คช็อปศิลปะบำบัด ที่ให้พนักงานได้ผ่อนคลายและสื่อสารกันผ่านงานศิลปะ หรือแม้แต่การทำอาหารไทยร่วมกันเป็นทีม ที่ทุกคนต้องช่วยกันวางแผน แบ่งหน้าที่ และลงมือทำจริงๆ ก็ได้รับความนิยมสูงมากค่ะ เพราะมันช่วยให้พนักงานได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกันอย่างแท้จริง ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องงาน และที่สำคัญคือได้สร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกัน นอกเหนือจากงานประจำ ส่วนพวกกิจกรรมผจญภัยที่ท้าทายในธรรมชาติแถบเขาใหญ่ หรือเขาค้อ ก็ยังคงเป็นที่นิยมนะคะ เพราะช่วยให้พนักงานได้หลุดออกจากกรอบเดิมๆ ในออฟฟิศ ได้เผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ ด้วยกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันช่วยเสริมสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นกว่าการประชุมออนไลน์เยอะเลยค่ะ ฉันมองว่ากิจกรรมเหล่านี้มันตอบโจทย์ยุค WFA/Hybrid ได้ดีมาก เพราะมันสร้างโอกาสให้พนักงานได้กลับมาเชื่อมโยงกันในชีวิตจริงแบบมีคุณภาพค่ะ

ถาม: อนาคตของวงการ Team Building ในประเทศไทยจะเป็นอย่างไรบ้างคะ และเทคโนโลยีจะมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน?

ตอบ: อนาคตของวงการ Team Building ในบ้านเรานี่น่าตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ ฉันเชื่อว่ามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่กิจกรรมที่เราเห็นกันในปัจจุบันแน่นอน สิ่งที่ฉันเห็นได้ชัดและกำลังมาแรงคือ ‘การผนวกเทคโนโลยี’ เข้ามาใช้กับการสร้างทีมอย่างจริงจังค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อความสนุกนะ แต่เพื่อเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญมากๆ ลองนึกภาพดูนะคะ การใช้เทคโนโลยี VR/AR ในเกมจำลองสถานการณ์ ที่พนักงานสามารถเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อแก้ปัญหาหรือทำงานร่วมกันเสมือนจริงได้เลย หรือแพลตฟอร์ม Gamification ที่องค์กรสามารถใช้ติดตามความก้าวหน้า สร้างแรงจูงใจ และแข่งขันกันได้แบบเรียลไทม์ มันจะทำให้การเรียนรู้และการทำงานร่วมกันสนุกขึ้นและวัดผลได้ชัดเจนขึ้นค่ะนอกจากนี้ ฉันคิดว่าอนาคตของ Team Building จะมีความ ‘เฉพาะเจาะจง’ มากขึ้นด้วยค่ะ คือจะไม่ได้มีกิจกรรมแบบ One-size-fits-all แต่จะมีการออกแบบโปรแกรมที่ปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร, เป้าหมายเฉพาะของทีม, และความต้องการของพนักงานแต่ละคนจริงๆ โค้ชเองก็จะต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อสามารถนำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ฉันมองว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความบันเทิงแล้วค่ะ แต่มันคือการลงทุนเพื่อสร้าง ‘พลังขับเคลื่อน’ ให้กับองค์กรในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาเลยค่ะ และฉันตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวงการนี้ในอนาคตอันใกล้นี้ค่ะ!

📚 อ้างอิง